Tuesday, 2 October 2012

เพลงประจำศิลปากร





ตราประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร พระพิฆเนศวร เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ(เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนลวดลายกนก ภายใต้มีอักษรว่า "มหาวิทยาลัยศิลปากร"



ศิลปากรนิยม

* มะมาเรามารื่นเริง มะมาเรามาบันเทิง มะมาเรามารื่นเริง เชิงชื่นรื่นสำราญ *

ยามเรียน เราเรียนเพราะรัก  เราฝึกหัดเพื่อชำนาญ

ยามพัก เราแสนสนุก  เราเป็นสุขกับผลของงาน

ศิลปะ... แสนบริสุทธิ์  ผุดผ่อง... ดั่งแสงจันทร์  ปราศไฝ... และไร้ฝ้า  เปรียบจันทรา..คราไร้หมอกควัน 

ศิลปินอยู่เพื่ออะไร  ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน  แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ  ที่ได้สร้างเพื่อมนุษย์ธรรม

ดูสิ... สวยแท้ปานใด  ศิลปะ... ภพเลิศไฉไล  กลิ่นสี... และกาวแป้ง  ดุจดังแรง ส่งเสริมใจ

มนุษย์เราหากรักศิลป์  สิ่งซึ่ง... งามวิไล  มวลมนุษย์สุดสดชื่น  เริงรื่นศิวิไลซ์

( ซ้ำ *)

จาก

http://www.websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=1960


เพลง นี้ไม่ปรากฎชื่อว่าใครแต่ง แต่ที่มาของเพลงนี้มาจากศิษย์ รุ่นแรกๆของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้แอบฟังอาจารย์ร้องเพลงในระหว่างทำงานในห้องแล้วพยายามจำเอามาหัดร้อง ซึ่งนั้นก็คือเพลง ซานต้า ลูเซีย เป็นเพลงภาษาอิตาเลียน แต่ด้วยความที่ร้องสำเนียงไม่ชัดเจนเลยทำให้เกิดมีการแต่งเป็นบทเพลงภาษาไทย แล้วร้องต่อจากเพลงซานต้า ลูเซ๊ย ต่อมาทั้งสองเพลงก็เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นเพลงประจำคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ สาเหตุที่เป็นเพลงประจำคณะและเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วยเพราะเริ่มแรกก่อตั้ง มหาวิทยาลัย ก็มีเพียงคณะเดียวเท่านั้นคือ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม เมือมีการก่อตั้งคณะอื่นๆเพิ่มก็ยึดถือเพลงนี้เป็นเพลงมหาวิทยาลัยสืบมาถึงทุกวันนี้
ส่วนเพลงลานจันทน์รัญจวน หรือ เพลงกลิ่นแก้ว ไม่ใช่เพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจจะมีส่วนแค่ชื่อที่สอดคล้องกันเท่านั้น ลานจันทร์ มีอยู่ที่หน้าคณะจิตรกรรม เพราะมีต้นต้นจันทน์ ปัจจุบันนี้ นักศึกษาจะเรียกว่า ลานอาจารย์ศิลป์ สวนแก้วก็มีเป็นส่วนหนึ่งของวังท่าพระ แต่เนื้อเพลงทั้งสองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศิลปากรเหมือนเพลงมหาวิทยาลัยอื่นๆ
อีกแง่มุมหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าศิลปินไม่สามารถแต่งเพลงให้ศิลปินด้วยกันได้ เลยทำให้ศิลปากรไม่มีเพลงที่เป็นของสุนทราภรณ์ เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเหมือนสถาบันอื่นๆ เพื่อเป็นที่ยืนยัน เพราะผมตั้งแต่เป็นนักศึกษาจนจบออกมาพยายามหาเพลงที่คณะสุนทราภรณ์แต่งให้ ยังไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังเลย ส่วนเพลงนี้มีเนื้อเพลงที่ต้องแก้ไข คือ บรรทัดที่สาม เชิงชื่นรื่นสำราญ จะต้องเป็น เริงรื่นชื่นสำราญ อีกจุด เปรียบจันทรา..คราไร้หมอกควัน จะต้องเป็น ดั่งจันทรา..คราไร้หมอกควัน อันสุดท้าย มวลมนุษย์สุขสดชื่น จะต้องเป็น มวลมนุษย์จะสดชื่น เพลงนี้สามารถร้องด้วยทำนองช้าๆแบบเพลง ซานต้า ลูเซีย หรือจะร้องในทำนองสนุกๆก็ได้ครับ.
คนเมืองนอก


สุนทราภรณ์ แต่งเพลงให้ศิลปากรรวม สองเพลง แต่ไม่ได้อัด(คงเพราะต้องใช้เงินสนับสนุนหมื่นบาท(ตามคำบอกสมัยนั้น) ที่ทราบเพราะตอนเป็นน้องใหม่รุ่นพี่เคยให้ไปคัดเนื้อกับโน๊ตที่กรมประชา สัมพันธ์ (ราชดำเนิน) เข้าใจว่ายังมีเนื้อและโน๊ตอยู่ที่สมุดจดเพลงของกรมประชาสัมพันธ์ เสียดายที่ของผมถูกไฟไหม้ไปพร้อมบ้าน
ป้อม โบราณคดี(2511)

เพลงนี้ ทำนองเพลงซานตา ลูเซีย ซึ่งเป็นเพลงเดียวกับที่ครูสุรพล โทณะวณิก แต่งเป็นเพลง "ย่ำสนธยา" ให้คุณสุเทพ วงศ์กำแหงขับร้อง
ศศิธรารัตน์

Switzerland ดินแดนแห่งฝัน : Basel

มีแต่คนบอกว่าเที่ยวบ่อยจัง  แต่ในเมื่อมีเวลาสามปีในช่วงมาเรียนที่นี้ มีเวลาก็ต้องออกเดินทาง ...ทริปนี้ออกเที่ยวช่วงวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวเดียวในรอบปี ถ้าไม่นับคริสมาสต์ของพวกฝรั่งเขา   ตอนแรกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนดี สิ่งที่ช่วยกำหนด ก็คือว่าไปไหนค่าเดินทางถูก  เชคทั้งเครื่องบิน รถไฟ  ถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ การหาตั๋วถูกๆเป็นเรื่องยาก ก็เลยดูรถไฟcity night train  ซึ่งมีหลายสายไปได้ทั่วยุโรป แต่ก็ต้องเดินทางนานหน่อย   จากการเชคราคาก็เลยเลือกไปสวิส ลงที่ Basel ต่อไป Lucern และมานั่งรถกลับที่ Zurich  แถมหยุดพักที่ Frankfurt ก่อนนั่งกลับ  ค่าเดินทางไปกลับ แบบที่นั่งปรับนอนได้  ประมาณ 100 ยูโร  เดินทางตอนกลางคืนถึงเช้า  ก็เที่ยวได้เลย ประหยัดค่าโรงแรมไปหนึ่งวัน


การเที่ยวที่สวิสคราวนี้ เหมือนเดิมไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมามาก กะมาชิว ชิว พักผ่อน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเท่าไหร่ เพราะเดินจนหมดแรงหมือนกัน
แต่ข้อดีของการเที่ยวยุโรป คือถ้าไปที่ information center ก็จะได้เอกสาร แผนที่ ข้อมูลท่องเที่ยว  ใช้เวลาศึกษานิดหน่อยแล้วก็ออกเดินทางได้



Basel  ถึงประมาณแปดโมงเช้า เงียบมาก อาจเป็นเพราะเป็นวันอีสเตอร์ด้วย ซึ่งร้านค้าก็จะปิดกันหมดอยู่แล้ว
แลกเงิน จากยูโร เป็นฟรังสวิส เพราะแม้ว่าร้านค้าอาจรับยูโร แต่อัตราแลกเปลี่ยนอาจแตกต่าง  ทำให้ซื้อของแพงขึ้นไปอีก  ก็แลกไปสักหน่อย อีกหนึ่งข้อดี ของร้านรับแลกเปลี่ยนที่ Basel HBF คือสามารถแลกฟรังสวิสกลับเป็นยูโรได้ในอัตราเดียวกับที่แลกมา   จำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร แต่มีสาขาอยู่ที่สนามบิน zurich  ด้วย  เงินพร้อม มีข้อมูล ก็ออกเดินทาง

ตัดสินใจซื้อตั๋ววัน เพราะวันนี้มีแผนไป Lucern ต่อ ต้องประหยัดแรงไว้บ้าง ที่สำคัญจาก hbf ถึงจุดท่องเที่ยวก็ไกลเอาเรื่องทีเดียว










Regensburg

ไม่ได้เขียนเรื่องการท่องเที่ยวมานานมาก แม้ว่าจะออกเดินทางอยู่เสมอ วันนี้นึกสนุก  เขียนสักหน่อยละกัน

Regensburg เป็นเมืองในรัฐ  Bavaria ของเยอรมันนี   อาจจะไม่ใช่เมืองที่คนไทยรู้จัก และมาท่องเที่ยวเท่าไหร่  ส่วนตัวที่มาก็เพราะมาอบรม ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้มาเหมือนกัน ลองมาดูกันว่าเมืองนี้มีอะไรดี  เมืองนี้ได้ขึ้นเป็น UNESCO World Heritage Site คงไม่ธรรมดาแน่ๆ

ขอพูดถึงรัฐบาวาเรียก่อนสักหน่อย
เมืองหลวงของรัฐนี้ก็คือ Munich ที่คนไทยคุ้นเคยกันอย่างดี และเป็นเมืองที่มีเทศกาลที่หลายคนอยากมาสัมผัสบรรยากาศ และลิ้มลองเบียร์นั่นก็คือ Octoberfest  ซึ่งถ้านั่งรถไฟ RE (regional train) จาก Regensburg ก็เพียงชม.ครึ่งเท่านั้น

Bavaria มีธงเป็นลายตารางสีฟ้าขาว

และตราสัญลักษณ์ coast of arm ของรัฐ





ที่เอามาให้ดู เพราะถ้าไปเที่ยวรัฐนี้ จะสังเกตได้ว่าสีตารางฟ้าขาวนี้ตกแต่งตามข้าวของต่างๆ  โดยเฉพาะผ้าปูโต๊ะ 


Regensburg เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญในอดีต   จะเห็นได้ว่า landmark ที่สำคัญของเมืองก็คือสะพานหิน ( Stone Bridge , Steinerne Brücke )




เป็นสะพานที่สร้างข้ามแม่น้ำ Danube เชื่อมระหว่างเมืองเก่า และ Stadtamhof  สร้างเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12  แทนสะพานไม้เดิม   สะพานหินนี้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคกลางของยุโรป เพราะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Danube แห่งเดียวกว่า 800 ปี (จนกระทั่งปี 1930s  มีการสร้างสะพาน Nibelungen)  และเป็นต้นแบบสะพานหินให้เมืองต่างๆอย่าง สะพานข้ามแม่น้ำ Elbe ที่ Dresden, London bridge ที่ข้ามแม่น้ำ Thames เป็นต้น  นอกจากเป็นเส้นทางค้าขาย สะพานนี้ก็เป็นที่ใช้ลงโทษประหารชีวิตคนเช่นกัน

รู้ประวัติแล้วทำให้สะพานธรรมดา ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที
ตรงปลายสะพานด้านเมืองเก่า จะมี World Heritage Visitor Centre  แนะนำว่าให้เข้าไปดู มีการจัดแสดงและนำเสนอประวัติเมืองได้น่าสนใจดี  







จากรูปจะเห็นโบสถ์ใหญ่ๆ  St.Peter's cathedral  และนั่นคือจุดท่องเที่ยวสำคัญหนึ่งของเมือง



 St.Peter's cathedral เป็นสถาปัตยกรรมแบบ  Gothic    ภายในก็มีกระจกประดับ ( stained glass ) ภาพกระจกที่สำคัญก็ตามชื่อโบสถ์ ก็จะเป็นภาพ St.Peter หรือ นักบุญเปโตร ซึ่งในภาพจะถือกุญแจอยู่  เป็นกุญแจที่พระเยซูมอบให้ ถือเป็นกุญแจสู่คริสตจักร  และให้ขนานนามว่า Rock
ตามแผ่นพับมีข้อมูลประมาณนี้ กลับมาก็ต้องมานั่งหา เพราะงงว่าทำไมต้อง rock ข้อมูลที่ได้ก็ตามนี้ ค่อยเข้าใจหน่อย


Then Jesus addresses Simon by what seems to have been the nickname "Peter" (Cephas in Aramaic, Petros [rock] in Greek) and says, "On this rock I will build my church, and the gates of Hell will not prevail against it."

ประมาณว่าเป็นฐานที่มั่นคงแต่คริสตจักรนั่นเอง


แนะนำว่าเข้าไปแล้วก็ไปดูแผ่นพับที่เขาแจกดูสักหน่อย เพื่อจะได้รู้ว่ามีจุดไหนที่เราควรดูบ้าง แต่ถ้าไม่คิดอะไร ดูเพลินๆ สวยๆ ถ่ายรูปเล่นๆ ก็ไม่ว่ากัน  แต่ถ้าใครสนใจอยากรู้มากกว่านั้น แนะนำ http://www.sacred-destinations.com/germany/regensburg-cathedral   อีกจุดหนึ่งก็เป็นรูปปั้นนางฟ้ายิ้ม  ที่แสดงถึงความยินดีที่พระเจ้าส่งบุตรชายของพระองค์มาเพื่อนำทางมนุษย์สู่พระเจ้า  


ที่เที่ยวสำคัญก็คงมีสองจุดนี้ แต่เมืองนี้ก็ยังมีโบสถ์อีกหลายที่ เมืองก็เล็กๆ แต่ก็มีเสน่ห์ ถ้าเดินเล่นเรื่อยๆ อย่างเดียว ใช้เวลาเดินสักสองสามชม.ก็คงทั่วเมือง   หรือใครอยากจะพักผ่อนเดินเล่นริมน้ำก็สบายดีนะ
ลองมาดูภาพมุมอื่นๆของเมืองกันดู บางทีอาจจะอยากไปเยี่ยมชม

 อีกโบสถ์ที่อยากแนะนำ Evang.-Luth.St.  Oswald kirch   อยู่ตรงปลายสะพาน

ตรงเมืองเก่าจะมี 3 สะพาน  สะพานตรงกลางก็คือ สะพานหิน Stone Bridge และมีสะพานขนาบอีกสองข้างไม่ไกลกันเท่าไหร่  ถ้าเราหันหน้าหาแม่น้ำ และเมืองเก่าอยู่ด้านหลัง  โบสถ์จะอยู่ที่สะพานซ้ายสุด ฝั่งเมืองเก่า ตัวโบสถ์ธรรมดามาก แต่ข้างในสวย    








ภาพเมืองรอบๆ


Town Hall และก็เป็น tourist information



 เมืองนี้ของแพงพอควรที่เดียว   ถ้าอยากหาของถูก ก็เข้า Netto เป็นซุปเปอร์มาร์เกต แอบซ่อนอยู่ตรงข้างในตึกสีเทาๆนี่เอง






 






Saturday, 4 February 2012

เวปไซท์ หาที่พัก

พอดีไปเจอเวปที่แนะนำการหาที่พัก เลยเอามาลงไว้เพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับคนชอบท่องเที่ยว หรือมองหาที่พัก

แต่เดิมชอบใช้ venera เพราะสามารถจะยกเลิกการจองห้องได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ตามเงื่อนไข) และก็จ่ายเงินกับทางโรงแรมโดยตรง   คือใช้บัตรเครดิตแค่ตอนจองเท่านั้น สำหรับนร.ที่ไม่มีบัตรเครดิตเป็นของตนเอง แต่มีบัตรของผู้ปกครอง หรือจะยืมใครเพื่อจองโรงแรมก็จะสะดวกกว่า  อีกอย่างพอคิดเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว  น่าจะถูกกว่า 
ตอนนี้ใช้ booking.com ก็สะดวกดี คล้าย venera ช่วงปีที่ผ่านมา booking.com มีโปรโมชั่นลดราคาค่าห้องมาเสมอ

tripadvisor มักใช้เป็นที่หาข้อมูลเริ่มต้น แต่ไม่ได้จองผ่านเวปนี้
hotel.com กับ hostelbookers เดี๋ยวนี้ต้องเสียค่ามัดจำห้องตอนจอง ถ้ายกเลิกก็ต้องเสียเงินส่วนนี้ไป



10 Best Hotel Search Engines To Get The Best Deals When You Travel
http://www.makeuseof.com/tag/10-hotel-search-engines-deals-travel/

1. Google Hotel Finder
2. Bing Travel – Rate Indicator
3. Hotels.com
4. Laterooms
5. Tripadvisor
6. Booking.com
7. Hotels Combined
8. Hotwire
9. Venere
10.  Roomkey



10 Sites For Budget Travel & Backpacking Trips Across The World
http://www.makeuseof.com/tag/10-sites-budget-travel-backpacking-trips-world/

Backpacker
Backpack Forever
The Backpacker
Trails.com
ExploGuide
Gorp.com
Every Trail
Travel Independent
Adioso
Hostel Bookers

Sunday, 17 April 2011

Ukulele part1

ชีวิตการเรียนแม้จะหนักแค่ไหน  ก็มีวิธีแบ่งมาให้ตัวเองทำอะไรที่อยากทำเสมอ  ช่วงนี้นึกอยากเรียน เล่น ukulele ขึ้นมา ก็จัดการสั่งซื้อออนไลน์ แบบถูกๆมาลองดู   เคยอยากเล่นกีตาร์ แต่ก็ไม่มีโอกาส พอได้เห็นเจ้ากีตาร์ตัวน้อย อย่าง อาคูเลเล่ น่ารัก และ ราคาถูกพอจะเอามาลองเล่น ก็เลยเอาซะหน่อย


เอาเป็นว่า จากคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่าง แล้วจะเรียนด้วยตัวเองจะเริ่มยังไงดีละเนี่ย  


ซื้อมาแล้ว เล่นยังไงละเนี่ย  เรื่องยากตั้งแต่ตั้งสาย


แม้จะซื้อเครื่องทูนมาด้วย ก็แค่ดีด แล้วปรับให้ได้เสียง GCEA ตามแต่ละสาย  โอเค...ลองดู...
http://www.ukulelethai.com/ukulele/ukulele-tuning.html
แต่แล้วก็งงอีกว่า ถ้าจะตั้งสาย 1 ที่เป็น G แต่ดีดแล้วเป็นเสียง E   ต้องหมุนปรับไปทางไหนละ ???
อันนี้ช่วยได้ 
http://www.ukuleles.com/SetupnCare/TenorTune.html


ตั้งสายเสร็จ ดีดยังไงอะ (คนอื่นเขาเป็นกันไหม หรือแค่เราที่ไม่รู้จริงๆ)
ค้นหา วิธีดีด เจออันนี้ก่อน
http://maysahawaii.blogspot.com/2010/02/uke-minutes-13-tremolo.html


โอ้ อย่างงี้มันมืออาชีพแล้ว หาต่อไป ไว้เก่งแล้วจะฝึกแบบนั้น
ในที่สุด ก็ได้อันนี้มาช่วยชีวิต พอให้เข้าใจว่ามีวิธีดีดหลายวิธี 
http://baanukulele.com/content_detail.htm?id=380




ขั้นถัดมาคือ หัด ถืออูคูเลเล่ให้ถูกต้องครับ เป็นปัญหาที่พบบ่อยเลยครับ ถือแล้วมันจะหลุดมันจะหล่นอยู่เรื่อย ขั้นตอนนี้อาจจะดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ ต้องใส่ใจนิดนึงนะครับ เพราะถ้าถือแบบผิด ๆ จนติดเป็นนิสัยแล้วมันจะแก้ยาก วิธีถือที่ถูกต้องนะครับ
1. ถือ โดยใช้แขนที่สตรัม (ในกรณีนี้ สมมติว่าเป็นคนถนัดขวา ใช้มือขวาสตรัม และใช้มือซ้้ายจับคอร์ด) หนีบอูคูเลเล่ไว้ ให้อูคูเลเล่อยู่ระหว่างอก และข้อพับด้านใน แล้วให้นิ้วที่จะใช้สตรัม สามารถยืดไปได้จนถึงประมาณเฟรทที่สิบสอง ให้ทำเหมือนเรากำลังอุ้มเด็กทารกไว้ในมือ ให้รู้สึกสบาย ๆ ผ่อนคลาย ไม่ต้องถึงขั้นหนีบจนไม้แตก
2. นิ้ว ที่จะใช้สตรัม (นิ้วชี้) ก็ให้ช้ีเข้าหาตัวเอง อาจจะเอานิ้วโป้งมาช่วยทำเป็นมือจีบก็ได้ เวลาสตรัม ก็สตรัมลงตรงบริเวณที่คอกับบอดี้มันมาเจอกัน อยู่แถว ๆ เฟรทที่สิบสอง ไม่ต้องไปสตรัมตรงรูซาวน์โฮลนะครับ
3. เวลา สตรัมก็แค่บิดข้อมือขึ้นลง ลักษณะคล้ายกับเราบิดลูกบิดประตู ไม่จำเป็นต้องโยกขึ้นโยกลงทั้งแขน เพราะอูคูเลเล่ขนาดเล็ก ขอแค่ให้นิ้วเรากวาดขี้นลงให้ครอบคลุมสายทั้งสี่สายก็พอแล้ว
4. มา ถึงแขนซ้ายที่ไว้ใช้จับคอร์ด พยายามจับให้นิ้วโป้งเราอยู่ด้านหลังของคอ ปลายนิ้วโป้งชี้ตั้งฉากกับคอขึ้นมา นิ้วโป้งไม่ต้องเลยคอขึ้นมาเยอะ ขอแค่ให้ปลายอยู่เหนือคอเล็กน้อยก็พอ ถ้ามองจากด้านหน้าเข้าไป จะเห็นว่านิ้วโป้งอยู่ระหว่างนัทและเฟรทที่สาม
5. การจับคอร์ด พยายามให้นิ้วทั้งหลายอยู่ขนานไปกับเฟรท (หรือตั้งฉากกับคอนั่นเอง) อาจจะเอียงเล็กน้อย 10 - 15 องศา แต่ไม่ควรให้นิ้วเบี้ยวไปเบี้ยวมาจนเสียทรง เพราะจะเปลี่ยนคอร์ดยาก ถ้าจับถูกต้อง การเปลี่ยนคอร์ดจะดูเป็นธรรมชาติ
6. ถ้า อูคูเลเล่ที่เราเล่นเป็นขนาดใหญ่ขึ้นมาเช่น เทนเนอร์ หรือ บาริโทน อาจจะต้องใช้นั่ง แล้วให้ตัวอูคูเลเล่พักอยู่ระหว่างขา ถ้าเราเล่นในท่ายืน ก็ขอให้แน่ใจว่า มือที่่ใช้หนีบอูคูเลเล่นั้น เรากระจายแรงหนีบไปทั่วส่วนที่เป็นซาวน์บอร์ด ให้เราถือได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้อีกมือหนึ่งเข้ามาช่วย


ขัั้นต่อมาคือต้องคอยทูนอูคูเลเล่ให้ถูกต้อง ทูนตามแบบมาตรฐานทั่วไปก็คือ G C E A บางคนอาจจะชอบเสียงทุ้ม ก็เปลี่ยนสาย G เป็นสาย Low-G ก็ ได้ เครื่องทูนเนอร์ดิจิตอลปัจจุบันราคาไม่แพง ก็ช่วยได้เยอะครับ เราก็เรียนวิธีใช้เครื่องให้เป็น อาจจะอ่านจากคู่มือ หรือให้คนขายสอน หรือให้เพื่อนสอน หรือดูตามวีดีโอบนอินเตอร์เน็ตก็ได้ 
ต่อมาเราก็มาเรียนวิธีสตรัมครับ วิธีที่ง่ายที่สุดเลยคือ สตรัมลงอย่างเดียว down down down down ไปเรื่อย ๆ เหมือนเราปรบมือประกอบจังหวะ ถ้าต้องการความตื่นเต้นขึ้นมานิดนึงก็ลองเปลี่ยนเป็น สตรัมลง แล้วก็สตรัมขึ้น down up down up down up down up อย่าง ที่บอกครับ ไม่ต้องใช้แรงมาก สะบัดข้อมือให้เหมือนเราบิดลูกบิดประตู ไม่ต้องสะบัดแรง แต่ขอให้แรงพอที่นิ้วเราจะไปไม่ติดค้างอยู่ในสายก็เป็นอันใช้ได้
ต่อมาเราก็มาเรียนจับคอร์ด ให้ ลองหาคอร์ดชาร์ต ที่รวบรวมทุกคอร์ดไว้จะเป็นประโยชน์มาก หรือปัจจุบันนี้มีซอร์ฟแวร์ก็ใช้ได้เหมือนกัน แรกเริ่มก็อาจจะจับคอร์ดง่าย ๆ ก่อน เช่น C F G G7 A แล้วก็ฝึกเปลี่ยนคอร์ด อย่างเช่น จาก C ไป F ไป G7 แล้วก็กลับมาที่ C แค่นี้ก็หากินได้หลายเพลงแล้วครับ นิ้วที่ใช้จับคอร์ดก็พยายามตัดเล็บให้สั้นนิดนึง จะทำให้จับง่ายขึ้น 
หลักการทั่วไปคือ นิ้วชี้ไว้กดเฟรทที่หนึ่ง นิ้วกลางไว้กดเฟรทที่สอง และนิ้วนางไว้กดเฟรทที่สาม ไล่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ครับ ยกตัวอย่างเช่น คอร์ด C เรา ต้องกดสายล่างสุด เฟรทที่สาม เราก็ต้องใช้นิ้วนางกด เพราะนิ้วนางนั้นประจำการอยู่ที่เฟรทที่สาม ตารางคอร์ดที่มีหมายเลขนิ้วมือก็จะช่วยได้เยอะในส่วนนี้ เพราะจะระบุไว้เลยว่าควรจะใช้นิ้วไหน กดตรงไหน เวลากดก็ให้ใช้ปลายนิ้วกดลงไปตรง ๆ
ต่อมาเราก็เรียน Vamp หรือที่เค้าเรียกว่าเป็นชุดของคอร์ดที่ใช้ร่วมกันอยู่บ่อย ๆ เช่น เพลงฮาวายเอี้ยน ก็จะมี Vamp แบบนี้ C D7 G7 C หรือ G A7 D7 G ถ้าเพลงไทยสากลทั่วไปก็อาจจะเป็น C Am Dm G วนไปวนมาอย่างนี้เป็นต้น  ทีนี้ถ้าเริ่มเบื่อที่จะสตรัม down up วนไปวนมา ก็เรียนวิธีสตรัมแบบใหม่ ๆ เช่นการทำ Chunk หรือ Chop หรือการทำเสียงให้จังหวะ หรือการ Roll นิ้ว เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับการสตรัมของเรา หรือแม้แต่การหยุดจังหวะ ก็นำมาประกอบได้ จังหวะใหม่ของเราก็อาจจะเป็นอย่างนี้
D=down, U=up, (space)=rest, X=chop
DU
DDUUD
DXUUD
XDUUD
D UX XUUD DU
DDDDU
ถ้าเบื่อไม่อยากจะสตรัม ก็ลองมาฝึกการพิกกิ้ง (picking) หรือ ที่เค้าชอบเรียกกันว่า การเกา อาจจะฟังดูเหมือนยาก แต่จริง ๆ ไม่ยาก เพราะเราค่อย ๆ ดีด ทีละเส้น (ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน) เราก็หา tab ง่าย ๆ มาลองแกะ ลองเกาดู อันนี้ก็ต้องมาเรียนวิธีการอ่านแท็บ 
A |-------------2-3-
E |-2-3-2-3-1-3-----
C |-----------------
G |-----------------
การอ่านแท็บ ก็ไม่ยาก บรรทัดทั้งสี่บรรทัด ก็แทนสายทั้งสี่สาย (มีตัวหนังสือกำกับไว้ด้านข้าง) ตัวเลขที่อยู่บนเส้น ก็คือช่องของเฟรท  ตัวอย่างด้านบนก็คือ ดีดสาย E เฟรทที่ 2 แล้วก็ดีดเส้นเดิม สาย E เฟรทที่ 3 กลับไปเฟรทที่ 2, 3, 1, 3 
เปลี่ยนไปดีดสาย A เฟรทที่ 2 แล้วก็สาย A เฟรทที่ 3 อันนี้เค้าเรียกว่า C vamp จะลองเล่นดูกับคอร์ด   D7// G7// C//// ก็ได้ หรือจะเอาเพลง Happy Birthday มาลองฝึกก่อนก็ได้ เพราะง่ายดี น่าจะร้องกันได้ทุกคน ใช้ได้จริงในงานวันเกิด
A---------------     Happy Birthday to you
E---------1-0---
C-0-0-2-0-------
G---------------

A---------------     Happy Birthday to you

E---------3-1---
C-0-0-2-0-------
G---------------

A-----3-0-------     Happy Birthday (ใส่ชื่อเจ้าของวันเกิดเข้าไปตรงท่อนนี้)

E---------1-0---
C-0-0---------2-
G---------------

A---------------     Happy Birthday to you

E-6-6-5-1-3-1---
C---------------
G---------------
เคล็ดลับสำคัญคือ พยายามหาเพลงที่เราชอบฟัง ชอบร้อง มาหัดเล่น จะทำให้มีกำลังใจในการเล่นมากขึ้น เลือกเพลงที่มีคอร์ดอยู่ประมาณ 4-5 คอร์ดที่ไม่ยากจนเกินไป เอา เท่านี้ก่อนก็เป็นอันว่าสำเร็จการศึกษาอูคูเลเล่่ขั้นต้น พร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นกลางครับ แล้วไว้มาต่อคราวหน้านะครับ .... เมษาฮาวาย  ว่าง ๆ ก็อย่าลืมเข้าไปเยี่ยมชมเว็บ www.BaanUkulele.com นะครับ เราเป็นเพื่อนกันกับ UkuleleThai

ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก

http://www.ukeschool.com/ukulele/lessons/how_to_play.html 
http://www.ukeschool.com/ukulele/lessons/how_to_hold.html
http://liveukulele.com/lessons/for-beginners/







Monday, 21 March 2011

สุดสัปดาห์ในปารีส

เพราะค่าตั๋วเครื่องบินที่ถูก เลยบินไปเที่ยวฝรั่งเศสช่วงสุดสัปดาห์ ๒ วัน ๑ คืน ออกเดินทางจากเบอร์ลินถึงปารีส ๙.๓๐ และกลับวันถัดมา ๒๑.๓๐ แหมอาจจะไม่มีเวลามาก แต่ก็เที่ยวแบบเต็มที่

ทริปนี้เที่ยวคนเดียวตามเคย สำหรับผู้หญิง เที่ยวคนเดียว ก็ระวังตัวหน่อยเป็นปกติ แหมปารีสจะเป็นเมืองที่ดูสวยงาม ชวนฝันของใครต่อใคร แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนักตามที่อ่านๆมา เรื่องที่ต้องระวัง ก็คงเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวใหญ่

พวกมิจฉาชีพ กระเป๋าถือ ควรไว้หน้าตัว อย่าสะพายข้างๆ ถ้าเป้สะพายก็อย่าเอาของสำคัญไว้ในเป้  เวลานั่งรถไฟใต้ดิน ถ้าเป็นเวลากลางคืน (ซึ่งปกติ ก็ควรหลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืนอยู่แล้ว)  อย่านั่งใกล้ประตูทางออกนัก เพราะบางทีเวลาประตูใกล้ปิด เขาจะกระชากกระเป๋าแล้ววิ่งลงรถไป  หรืออย่าใช้โทรศัพท์ คิดว่าคงไม่ได้โทรไปไหน แต่คงเอามากดเล่นเกมส์ ฟังเพลง ก็ระวังไว้หน่อย โดนวิ่งราวได้เหมือนกัน

พอได้ใช้สถานีรถไฟใต้ดิน รู้สึกได้ทันทีว่ามันดูไม่ค่อยปลอยภัยนัก อาจจะด้วยสภาพที่ค่อนข้างเก่า มีการขีดเขียนตามผนัง หรือบางสถานีก็เหม็นกลิ่นฉี่   แล้วทางเดินที่คดเคียวบาง ไกลบาง ยิ่งเวลาจะเปลี่ยนสายรถ  แหมจะมีกล้องวงจรปิด แต่ท่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะช่วยเราไม่ทัน

อ่านรีวิวต่างๆ เริ่มระแวงนิดๆกับการไปเที่ยวปารีสครั้งนี้ แต่ถ้าเรามัวระแวง การเที่ยวเราก็จะไม่สนุก ก็แค่ระวังตัวไว้หน่อย


 เริ่มเที่ยววันแรก

การเดินทาง
จากสนามบิน Orly  ตั้งใจว่าจะซื้อตั๋ว paris visitor pass แต่ที่สนามบินกับไม่มีขายมี สามโซน ไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งทำให้ต้องมาซื้อที่ Antony ซึ่งถ้าจะมาที่สถานีนี้โดยใช้  Only val ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าของสนามบินก็เสียอีกประมาณเจ็ดยูโร แพงเอาเรื่องทีเดียว ถ้าซื้อตั๋วทราเวลพาสได้ สำหรับหนึ่งวันจะเพียงแค่สิบกว่ายูโร และรวมค่าเดินทางต่อสนามบินด้วย  มาถึงAnthony ก็ต้องออกจากเกทเพื่อไปซื้อตั๋ว ตอนแรกตั้งใจว่าจจะซื้อตั๋ว  สามโซน หนึ่งวัน และก็หกโซนหนึ่งวัน  แต่ราคาหกโซนสองวันแพงกว่าหนึ่งยูโร ก็เลยเอาน่ะ แพงกว่านิดหน่อย เพราะไม่ได้วางแผนมาว่าจะเที่ยวไหน วันไหน เอาเรื่อยๆ ได้ไม่ต้องกังวลเรื่องตั๋ว ก็เลยเอาตั๋วหกโซน สำหรับสองวัน ราคาประมาณ ๒๙ ยูโร  ถ้าเป็นตัวสามโซนจะแค่ประมาณ ๑๙ ยูโร

ดูเรื่องตั๋วแบบต่างๆ
http://www.ratp.fr/en/ratp/c_21879/tourists/

ดูจากเวปของการเดินทางในฝรั่งเศสจะถูกกว่า สั่งซื้อกับทาง raileuro
http://www.raileurope.com/activities/paris-visite/index.html?WT.mc_id=CJ.paris_visite.affiliates


สนามบิน อาจต้องดูให้ดีว่าสนามบินไหน เวลาเดินทางมาขึ้นเครื่องจะได้ไม่ผิด และ terminal ไหนด้วย เพราะอย่าง Orly มีสอง terminal  Orly Sud (south) กับ Orly Ouest (west) ขากลับก็ไปผิดเหมือนกัน รอเวลาเชคอิน บอร์ดเวลาเครื่องออกของที่อื่นๆก็ขึ้นแล้ว แต่ไม่มีที่เราจะกลับ เอ๋ หรือเราจองวันผิด แถมทำใบจองออนไลน์หายอีก  เลยต้องไปถามประชาสัมพันธ์ ดีที่มันไม่ไกลกันมาก แล้วก็มาล่วงหน้านานพอควร  


เริ่มต้นด้วย Rudin museum  ไปเดินชมงานศิลปะ โดยซื้อตั๋ว museum pass แบบสองวัน 35 ยูโร



งานที่เป็นที่รู้จัก the thinker , the kiss

จากนั้นเดินไปที่ Dome des Invalides และดู military museum ถ้าเดินออกทางด้านพิพิธภัณฑ์  มองไปก็จะเห็นเหมือนสนามหญ้ากว้าง ไกลๆมีสะพาน ที่มีรูปปั้นตกแต่ง ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไกลมาก ข้ามสะพานไปก็จะเป็น Petit Palais กับ Gland Palais จากนั้นก็  ave des champs elysees แหล่งชอปปิ้งนั้นเอง





ถ้าออกมาทางนี้
 แล้วเดินไปเรื่อยๆ ตามนี้ก็จะถึง champs elysees
  

 หลังเดินชม window shopping กันจนเมื่อย เพราะเดินทั้งสองฝั่งของถนน  เพื่อจะตามหาร้าน longchamp ที่เพื่อนฝากซื้อกระเป๋า ตัวเองก็ไม่เคยซื้อของแบรนด์พวกนี้ซะด้วย คิดว่ามาเดินแถวนี้น่าจะเจอร้านบ้างก็ไม่เห็น  ก็เลยเอาไว้ก่อนละกัน แล้วก็นั่งรถไปชมหอไอเฟล 



เดินเที่ยวจนเหนื่อย ตั้งแต่มาถึงจนบ่ายสาม ก็เห็นทีต้องเข้าโรงแรมเชคอินกันก่อน ขอพักสักนิดก่อนออกมาต่อ และเชคว่าร้าน longchamp มันอยู่ตรงไหน คราวนี้จองที่ L'Hotel de Mericourt ค่าห้องประมาณ 2700 ห้องพัก กับห้องน้ำ อาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็สะดวกดี  และมีอาหารเช้า และ ฟรี wifi   ไม่มีแอร์ แต่ไปช่วงหน้าหนาวไม่มีปัญหา แต่หน้าร้อนนี่ไม่แน่ใจ 

ช่วงเย็นไปต่อที่ St sulpice เพื่อไปซื้อกระเป๋าให้เพื่อน เพราะไม่แน่ใจว่าส่วนว่าวันอาทิตย์ร้านจะเปิดปล่าว (ยุโรป วันอาทิตย์ส่วนใหญ่จะปิด) และเดินดูโบสถ์ suipice และไปที่ luxembourg แต่เพราะไปเย็นมาก  สวนเขาเลยปิดแล้ว น่าเสียดาย จากนั้นก็กลับที่พัก หมดแรงสำหรับวันนี้


วันที่สอง ตื่นมาไปกินข้าวเช้า มีขนมปังสามชิ้น น้ำส้ม และเครื่องดื่มอื่นๆ แต่เช้านี้ขอดื่มชอคโกแลตร้อน จากนั้นก็เชคเอาท์ แปดโมง แบกเป้เที่ยวต่อ

ไปที่ Montmartre เพราะเชื่อตามหนังสือแนะนำเส้นทางเดิน เลยไปลงที่ lamarck caulaincourt เล่นเอาเดินซะเหนื่อยกว่าจะขึ้นถึงโบสถ์ ทั้งที่มีสถานี anvers ซึ่งใกล้กว่า  

จากนั้นกลับมาที่นอสเทอดาม   เนื่องด้วยเป็นวันอาทิตย์เช้า เข้าฟรี เพราะคนไปโบสถ์ตอนเช้า  และได้ดูด้วยว่าเขาทำอะไรกันบ้าง พร้อมฟังร้องประสานเสียง




 ต่อด้วย พิพิธภัณฑ์ลูฟ อันนี้เดินนาน หลายชม.ทีเดียวว ชมงานไปเรื่อยๆ


 
ปิดท้ายด้วยอากาศดีๆ ของวันส่งท้าย ด้วยไปสวนที่เมื่อวานปิด  ที่ luxembourge

Sunday, 13 March 2011

นมไทยเดนมาร์ค

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1299751706&grpid&catid=00&subcatid=0000
เมื่อวันที่ 10  มีนาคม  2554  ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่  ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัท นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลาย   และกำหนดการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย   ตาม คดีหมายเลขแดงที่ ล.  16031/2550  กองบังคับคดีล้มละลาย 1ศาลล้มละลายกลาง



จากบ้านมาไม่นาน กลับไปคราวนี้จะไม่มีนมไทยเดนมาร์คกินแล้วเหรอ   เป็นยี่ห้อที่ชอบที่สุด ด้วยรสชาติที่อร่อยกว่าเจ้าอื่นๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนมเหมือนๆกัน ถึงมีรสชาดต่างกัน  เพราะถ้าเอาแต่ละยี่ห้อมาลองกินดู ก็จะคล้ายๆ แต่ไทยเดนมาร์คจะมีรสชาดที่ต่างไป และอร่อยกว่าในความรู้สึกเรา  

 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdOVEV5TURNMU5BPT0=

เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัทนมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลาย ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า จะไม่มีนมไทย-เดนมาร์ค ในท้องตลาดอีก ซึ่งข้อเท็จจริงคือปัจจุบันบริษัทดังกล่าว ไม่ได้ผูกพันหรือเกี่ยวข้องกับ อสค. แต่อย่างใด ยืนยันว่า อสค.จะเดินแผนขยายตลาดนมโคไทย-เดนมาร์ค ด้วยตนเอง ทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอสค.ครองความเป็นเจ้าตลาดนมพร้อมดื่มอันดับ 2 ของประทศ โดยยอดจำหน่ายในปี"53 สูงถึง 6 พันล้านบาท และตั้งเป้าจะขยายตลาดปีนี้เพิ่มขึ้น 5-10% และภายใน 5 ปีจะผลักดันให้มียอดขาย 1 หมื่นล้านบาท  

 


สมัยเด็กๆ ยิ่งคุ้นเคยกับนมถุง ถ้าเป็นอนุบาล ประถมต้น โรงเรียนก็จะแจกให้กินทุกวัน แต่พอโตมา  นมถุงเริ่มหายากกินได้ยาก เพราะด้วยอายุการเก็บที่สั้นก็เป็นได้ และก็คงไม่สะดวกทั้งในการขาย และบริโภคนัก  ถ้าไม่ใช่กรรไกรตัด ก็ต้องใช้ฟันกัด ฉีกปากถุง เพื่อใส่หลอดดูดนม  เป็นภาพที่คุ้นชิน และทำเป็นปกติสมัยเด็กๆ  นมถุงละสามบาทสมัยประถม กลายเป็นนมกล่อง ราคาสิบบบาทกว่า ในปัจจุบัน

สมัยเด็ก เวลาฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องในอดีต หรือแม้การดูหนัง สารคดี หรือหนังสือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เมืองไทยสมัยก่อนเป็นแบบนี้เหรอ   ทำไมมันเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้  ดูแล้วก็อยากย้อนกลับไป และให้เรื่องเล่านั่น การดำเนินชีวิตแบบนั่นยังคงอยู่  ... แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ 


เรากำลังเดินไปไหนกันนะ  ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสต์ เหมือนให้สิ่งต่างๆในชีวิตสะดวกสบาย ทันสมัย  แต่เราก็สูญเสียอะไรไปมากเช่นกัน   ของสมัยเก่าถูกมองว่าเชย ล้าสมัย และถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ๆ ที่คิดว่าดีกว่า เก๋กว่า โดยไม่คิดถึงคุณค่าอย่างง่ายดาย ... หรือนี่คืออนิจจัง ของโลก