Tuesday 2 October 2012

เพลงประจำศิลปากร





ตราประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร พระพิฆเนศวร เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ(เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนลวดลายกนก ภายใต้มีอักษรว่า "มหาวิทยาลัยศิลปากร"



ศิลปากรนิยม

* มะมาเรามารื่นเริง มะมาเรามาบันเทิง มะมาเรามารื่นเริง เชิงชื่นรื่นสำราญ *

ยามเรียน เราเรียนเพราะรัก  เราฝึกหัดเพื่อชำนาญ

ยามพัก เราแสนสนุก  เราเป็นสุขกับผลของงาน

ศิลปะ... แสนบริสุทธิ์  ผุดผ่อง... ดั่งแสงจันทร์  ปราศไฝ... และไร้ฝ้า  เปรียบจันทรา..คราไร้หมอกควัน 

ศิลปินอยู่เพื่ออะไร  ยืนยงเพื่อจรรโลงสิ่งไหน  แต่ศิลปินก็ภาคภูมิในใจ  ที่ได้สร้างเพื่อมนุษย์ธรรม

ดูสิ... สวยแท้ปานใด  ศิลปะ... ภพเลิศไฉไล  กลิ่นสี... และกาวแป้ง  ดุจดังแรง ส่งเสริมใจ

มนุษย์เราหากรักศิลป์  สิ่งซึ่ง... งามวิไล  มวลมนุษย์สุดสดชื่น  เริงรื่นศิวิไลซ์

( ซ้ำ *)

จาก

http://www.websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=1960


เพลง นี้ไม่ปรากฎชื่อว่าใครแต่ง แต่ที่มาของเพลงนี้มาจากศิษย์ รุ่นแรกๆของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้แอบฟังอาจารย์ร้องเพลงในระหว่างทำงานในห้องแล้วพยายามจำเอามาหัดร้อง ซึ่งนั้นก็คือเพลง ซานต้า ลูเซีย เป็นเพลงภาษาอิตาเลียน แต่ด้วยความที่ร้องสำเนียงไม่ชัดเจนเลยทำให้เกิดมีการแต่งเป็นบทเพลงภาษาไทย แล้วร้องต่อจากเพลงซานต้า ลูเซ๊ย ต่อมาทั้งสองเพลงก็เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นเพลงประจำคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ สาเหตุที่เป็นเพลงประจำคณะและเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วยเพราะเริ่มแรกก่อตั้ง มหาวิทยาลัย ก็มีเพียงคณะเดียวเท่านั้นคือ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม เมือมีการก่อตั้งคณะอื่นๆเพิ่มก็ยึดถือเพลงนี้เป็นเพลงมหาวิทยาลัยสืบมาถึงทุกวันนี้
ส่วนเพลงลานจันทน์รัญจวน หรือ เพลงกลิ่นแก้ว ไม่ใช่เพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร อาจจะมีส่วนแค่ชื่อที่สอดคล้องกันเท่านั้น ลานจันทร์ มีอยู่ที่หน้าคณะจิตรกรรม เพราะมีต้นต้นจันทน์ ปัจจุบันนี้ นักศึกษาจะเรียกว่า ลานอาจารย์ศิลป์ สวนแก้วก็มีเป็นส่วนหนึ่งของวังท่าพระ แต่เนื้อเพลงทั้งสองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศิลปากรเหมือนเพลงมหาวิทยาลัยอื่นๆ
อีกแง่มุมหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าศิลปินไม่สามารถแต่งเพลงให้ศิลปินด้วยกันได้ เลยทำให้ศิลปากรไม่มีเพลงที่เป็นของสุนทราภรณ์ เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเหมือนสถาบันอื่นๆ เพื่อเป็นที่ยืนยัน เพราะผมตั้งแต่เป็นนักศึกษาจนจบออกมาพยายามหาเพลงที่คณะสุนทราภรณ์แต่งให้ ยังไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังเลย ส่วนเพลงนี้มีเนื้อเพลงที่ต้องแก้ไข คือ บรรทัดที่สาม เชิงชื่นรื่นสำราญ จะต้องเป็น เริงรื่นชื่นสำราญ อีกจุด เปรียบจันทรา..คราไร้หมอกควัน จะต้องเป็น ดั่งจันทรา..คราไร้หมอกควัน อันสุดท้าย มวลมนุษย์สุขสดชื่น จะต้องเป็น มวลมนุษย์จะสดชื่น เพลงนี้สามารถร้องด้วยทำนองช้าๆแบบเพลง ซานต้า ลูเซีย หรือจะร้องในทำนองสนุกๆก็ได้ครับ.
คนเมืองนอก


สุนทราภรณ์ แต่งเพลงให้ศิลปากรรวม สองเพลง แต่ไม่ได้อัด(คงเพราะต้องใช้เงินสนับสนุนหมื่นบาท(ตามคำบอกสมัยนั้น) ที่ทราบเพราะตอนเป็นน้องใหม่รุ่นพี่เคยให้ไปคัดเนื้อกับโน๊ตที่กรมประชา สัมพันธ์ (ราชดำเนิน) เข้าใจว่ายังมีเนื้อและโน๊ตอยู่ที่สมุดจดเพลงของกรมประชาสัมพันธ์ เสียดายที่ของผมถูกไฟไหม้ไปพร้อมบ้าน
ป้อม โบราณคดี(2511)

เพลงนี้ ทำนองเพลงซานตา ลูเซีย ซึ่งเป็นเพลงเดียวกับที่ครูสุรพล โทณะวณิก แต่งเป็นเพลง "ย่ำสนธยา" ให้คุณสุเทพ วงศ์กำแหงขับร้อง
ศศิธรารัตน์

Switzerland ดินแดนแห่งฝัน : Basel

มีแต่คนบอกว่าเที่ยวบ่อยจัง  แต่ในเมื่อมีเวลาสามปีในช่วงมาเรียนที่นี้ มีเวลาก็ต้องออกเดินทาง ...ทริปนี้ออกเที่ยวช่วงวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวเดียวในรอบปี ถ้าไม่นับคริสมาสต์ของพวกฝรั่งเขา   ตอนแรกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนดี สิ่งที่ช่วยกำหนด ก็คือว่าไปไหนค่าเดินทางถูก  เชคทั้งเครื่องบิน รถไฟ  ถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ การหาตั๋วถูกๆเป็นเรื่องยาก ก็เลยดูรถไฟcity night train  ซึ่งมีหลายสายไปได้ทั่วยุโรป แต่ก็ต้องเดินทางนานหน่อย   จากการเชคราคาก็เลยเลือกไปสวิส ลงที่ Basel ต่อไป Lucern และมานั่งรถกลับที่ Zurich  แถมหยุดพักที่ Frankfurt ก่อนนั่งกลับ  ค่าเดินทางไปกลับ แบบที่นั่งปรับนอนได้  ประมาณ 100 ยูโร  เดินทางตอนกลางคืนถึงเช้า  ก็เที่ยวได้เลย ประหยัดค่าโรงแรมไปหนึ่งวัน


การเที่ยวที่สวิสคราวนี้ เหมือนเดิมไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมามาก กะมาชิว ชิว พักผ่อน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเท่าไหร่ เพราะเดินจนหมดแรงหมือนกัน
แต่ข้อดีของการเที่ยวยุโรป คือถ้าไปที่ information center ก็จะได้เอกสาร แผนที่ ข้อมูลท่องเที่ยว  ใช้เวลาศึกษานิดหน่อยแล้วก็ออกเดินทางได้



Basel  ถึงประมาณแปดโมงเช้า เงียบมาก อาจเป็นเพราะเป็นวันอีสเตอร์ด้วย ซึ่งร้านค้าก็จะปิดกันหมดอยู่แล้ว
แลกเงิน จากยูโร เป็นฟรังสวิส เพราะแม้ว่าร้านค้าอาจรับยูโร แต่อัตราแลกเปลี่ยนอาจแตกต่าง  ทำให้ซื้อของแพงขึ้นไปอีก  ก็แลกไปสักหน่อย อีกหนึ่งข้อดี ของร้านรับแลกเปลี่ยนที่ Basel HBF คือสามารถแลกฟรังสวิสกลับเป็นยูโรได้ในอัตราเดียวกับที่แลกมา   จำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร แต่มีสาขาอยู่ที่สนามบิน zurich  ด้วย  เงินพร้อม มีข้อมูล ก็ออกเดินทาง

ตัดสินใจซื้อตั๋ววัน เพราะวันนี้มีแผนไป Lucern ต่อ ต้องประหยัดแรงไว้บ้าง ที่สำคัญจาก hbf ถึงจุดท่องเที่ยวก็ไกลเอาเรื่องทีเดียว










Regensburg

ไม่ได้เขียนเรื่องการท่องเที่ยวมานานมาก แม้ว่าจะออกเดินทางอยู่เสมอ วันนี้นึกสนุก  เขียนสักหน่อยละกัน

Regensburg เป็นเมืองในรัฐ  Bavaria ของเยอรมันนี   อาจจะไม่ใช่เมืองที่คนไทยรู้จัก และมาท่องเที่ยวเท่าไหร่  ส่วนตัวที่มาก็เพราะมาอบรม ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้มาเหมือนกัน ลองมาดูกันว่าเมืองนี้มีอะไรดี  เมืองนี้ได้ขึ้นเป็น UNESCO World Heritage Site คงไม่ธรรมดาแน่ๆ

ขอพูดถึงรัฐบาวาเรียก่อนสักหน่อย
เมืองหลวงของรัฐนี้ก็คือ Munich ที่คนไทยคุ้นเคยกันอย่างดี และเป็นเมืองที่มีเทศกาลที่หลายคนอยากมาสัมผัสบรรยากาศ และลิ้มลองเบียร์นั่นก็คือ Octoberfest  ซึ่งถ้านั่งรถไฟ RE (regional train) จาก Regensburg ก็เพียงชม.ครึ่งเท่านั้น

Bavaria มีธงเป็นลายตารางสีฟ้าขาว

และตราสัญลักษณ์ coast of arm ของรัฐ





ที่เอามาให้ดู เพราะถ้าไปเที่ยวรัฐนี้ จะสังเกตได้ว่าสีตารางฟ้าขาวนี้ตกแต่งตามข้าวของต่างๆ  โดยเฉพาะผ้าปูโต๊ะ 


Regensburg เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญในอดีต   จะเห็นได้ว่า landmark ที่สำคัญของเมืองก็คือสะพานหิน ( Stone Bridge , Steinerne Brücke )




เป็นสะพานที่สร้างข้ามแม่น้ำ Danube เชื่อมระหว่างเมืองเก่า และ Stadtamhof  สร้างเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12  แทนสะพานไม้เดิม   สะพานหินนี้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคกลางของยุโรป เพราะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Danube แห่งเดียวกว่า 800 ปี (จนกระทั่งปี 1930s  มีการสร้างสะพาน Nibelungen)  และเป็นต้นแบบสะพานหินให้เมืองต่างๆอย่าง สะพานข้ามแม่น้ำ Elbe ที่ Dresden, London bridge ที่ข้ามแม่น้ำ Thames เป็นต้น  นอกจากเป็นเส้นทางค้าขาย สะพานนี้ก็เป็นที่ใช้ลงโทษประหารชีวิตคนเช่นกัน

รู้ประวัติแล้วทำให้สะพานธรรมดา ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที
ตรงปลายสะพานด้านเมืองเก่า จะมี World Heritage Visitor Centre  แนะนำว่าให้เข้าไปดู มีการจัดแสดงและนำเสนอประวัติเมืองได้น่าสนใจดี  







จากรูปจะเห็นโบสถ์ใหญ่ๆ  St.Peter's cathedral  และนั่นคือจุดท่องเที่ยวสำคัญหนึ่งของเมือง



 St.Peter's cathedral เป็นสถาปัตยกรรมแบบ  Gothic    ภายในก็มีกระจกประดับ ( stained glass ) ภาพกระจกที่สำคัญก็ตามชื่อโบสถ์ ก็จะเป็นภาพ St.Peter หรือ นักบุญเปโตร ซึ่งในภาพจะถือกุญแจอยู่  เป็นกุญแจที่พระเยซูมอบให้ ถือเป็นกุญแจสู่คริสตจักร  และให้ขนานนามว่า Rock
ตามแผ่นพับมีข้อมูลประมาณนี้ กลับมาก็ต้องมานั่งหา เพราะงงว่าทำไมต้อง rock ข้อมูลที่ได้ก็ตามนี้ ค่อยเข้าใจหน่อย


Then Jesus addresses Simon by what seems to have been the nickname "Peter" (Cephas in Aramaic, Petros [rock] in Greek) and says, "On this rock I will build my church, and the gates of Hell will not prevail against it."

ประมาณว่าเป็นฐานที่มั่นคงแต่คริสตจักรนั่นเอง


แนะนำว่าเข้าไปแล้วก็ไปดูแผ่นพับที่เขาแจกดูสักหน่อย เพื่อจะได้รู้ว่ามีจุดไหนที่เราควรดูบ้าง แต่ถ้าไม่คิดอะไร ดูเพลินๆ สวยๆ ถ่ายรูปเล่นๆ ก็ไม่ว่ากัน  แต่ถ้าใครสนใจอยากรู้มากกว่านั้น แนะนำ http://www.sacred-destinations.com/germany/regensburg-cathedral   อีกจุดหนึ่งก็เป็นรูปปั้นนางฟ้ายิ้ม  ที่แสดงถึงความยินดีที่พระเจ้าส่งบุตรชายของพระองค์มาเพื่อนำทางมนุษย์สู่พระเจ้า  


ที่เที่ยวสำคัญก็คงมีสองจุดนี้ แต่เมืองนี้ก็ยังมีโบสถ์อีกหลายที่ เมืองก็เล็กๆ แต่ก็มีเสน่ห์ ถ้าเดินเล่นเรื่อยๆ อย่างเดียว ใช้เวลาเดินสักสองสามชม.ก็คงทั่วเมือง   หรือใครอยากจะพักผ่อนเดินเล่นริมน้ำก็สบายดีนะ
ลองมาดูภาพมุมอื่นๆของเมืองกันดู บางทีอาจจะอยากไปเยี่ยมชม

 อีกโบสถ์ที่อยากแนะนำ Evang.-Luth.St.  Oswald kirch   อยู่ตรงปลายสะพาน

ตรงเมืองเก่าจะมี 3 สะพาน  สะพานตรงกลางก็คือ สะพานหิน Stone Bridge และมีสะพานขนาบอีกสองข้างไม่ไกลกันเท่าไหร่  ถ้าเราหันหน้าหาแม่น้ำ และเมืองเก่าอยู่ด้านหลัง  โบสถ์จะอยู่ที่สะพานซ้ายสุด ฝั่งเมืองเก่า ตัวโบสถ์ธรรมดามาก แต่ข้างในสวย    








ภาพเมืองรอบๆ


Town Hall และก็เป็น tourist information



 เมืองนี้ของแพงพอควรที่เดียว   ถ้าอยากหาของถูก ก็เข้า Netto เป็นซุปเปอร์มาร์เกต แอบซ่อนอยู่ตรงข้างในตึกสีเทาๆนี่เอง