Monday 21 March 2011

สุดสัปดาห์ในปารีส

เพราะค่าตั๋วเครื่องบินที่ถูก เลยบินไปเที่ยวฝรั่งเศสช่วงสุดสัปดาห์ ๒ วัน ๑ คืน ออกเดินทางจากเบอร์ลินถึงปารีส ๙.๓๐ และกลับวันถัดมา ๒๑.๓๐ แหมอาจจะไม่มีเวลามาก แต่ก็เที่ยวแบบเต็มที่

ทริปนี้เที่ยวคนเดียวตามเคย สำหรับผู้หญิง เที่ยวคนเดียว ก็ระวังตัวหน่อยเป็นปกติ แหมปารีสจะเป็นเมืองที่ดูสวยงาม ชวนฝันของใครต่อใคร แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนักตามที่อ่านๆมา เรื่องที่ต้องระวัง ก็คงเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวใหญ่

พวกมิจฉาชีพ กระเป๋าถือ ควรไว้หน้าตัว อย่าสะพายข้างๆ ถ้าเป้สะพายก็อย่าเอาของสำคัญไว้ในเป้  เวลานั่งรถไฟใต้ดิน ถ้าเป็นเวลากลางคืน (ซึ่งปกติ ก็ควรหลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืนอยู่แล้ว)  อย่านั่งใกล้ประตูทางออกนัก เพราะบางทีเวลาประตูใกล้ปิด เขาจะกระชากกระเป๋าแล้ววิ่งลงรถไป  หรืออย่าใช้โทรศัพท์ คิดว่าคงไม่ได้โทรไปไหน แต่คงเอามากดเล่นเกมส์ ฟังเพลง ก็ระวังไว้หน่อย โดนวิ่งราวได้เหมือนกัน

พอได้ใช้สถานีรถไฟใต้ดิน รู้สึกได้ทันทีว่ามันดูไม่ค่อยปลอยภัยนัก อาจจะด้วยสภาพที่ค่อนข้างเก่า มีการขีดเขียนตามผนัง หรือบางสถานีก็เหม็นกลิ่นฉี่   แล้วทางเดินที่คดเคียวบาง ไกลบาง ยิ่งเวลาจะเปลี่ยนสายรถ  แหมจะมีกล้องวงจรปิด แต่ท่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะช่วยเราไม่ทัน

อ่านรีวิวต่างๆ เริ่มระแวงนิดๆกับการไปเที่ยวปารีสครั้งนี้ แต่ถ้าเรามัวระแวง การเที่ยวเราก็จะไม่สนุก ก็แค่ระวังตัวไว้หน่อย


 เริ่มเที่ยววันแรก

การเดินทาง
จากสนามบิน Orly  ตั้งใจว่าจะซื้อตั๋ว paris visitor pass แต่ที่สนามบินกับไม่มีขายมี สามโซน ไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งทำให้ต้องมาซื้อที่ Antony ซึ่งถ้าจะมาที่สถานีนี้โดยใช้  Only val ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าของสนามบินก็เสียอีกประมาณเจ็ดยูโร แพงเอาเรื่องทีเดียว ถ้าซื้อตั๋วทราเวลพาสได้ สำหรับหนึ่งวันจะเพียงแค่สิบกว่ายูโร และรวมค่าเดินทางต่อสนามบินด้วย  มาถึงAnthony ก็ต้องออกจากเกทเพื่อไปซื้อตั๋ว ตอนแรกตั้งใจว่าจจะซื้อตั๋ว  สามโซน หนึ่งวัน และก็หกโซนหนึ่งวัน  แต่ราคาหกโซนสองวันแพงกว่าหนึ่งยูโร ก็เลยเอาน่ะ แพงกว่านิดหน่อย เพราะไม่ได้วางแผนมาว่าจะเที่ยวไหน วันไหน เอาเรื่อยๆ ได้ไม่ต้องกังวลเรื่องตั๋ว ก็เลยเอาตั๋วหกโซน สำหรับสองวัน ราคาประมาณ ๒๙ ยูโร  ถ้าเป็นตัวสามโซนจะแค่ประมาณ ๑๙ ยูโร

ดูเรื่องตั๋วแบบต่างๆ
http://www.ratp.fr/en/ratp/c_21879/tourists/

ดูจากเวปของการเดินทางในฝรั่งเศสจะถูกกว่า สั่งซื้อกับทาง raileuro
http://www.raileurope.com/activities/paris-visite/index.html?WT.mc_id=CJ.paris_visite.affiliates


สนามบิน อาจต้องดูให้ดีว่าสนามบินไหน เวลาเดินทางมาขึ้นเครื่องจะได้ไม่ผิด และ terminal ไหนด้วย เพราะอย่าง Orly มีสอง terminal  Orly Sud (south) กับ Orly Ouest (west) ขากลับก็ไปผิดเหมือนกัน รอเวลาเชคอิน บอร์ดเวลาเครื่องออกของที่อื่นๆก็ขึ้นแล้ว แต่ไม่มีที่เราจะกลับ เอ๋ หรือเราจองวันผิด แถมทำใบจองออนไลน์หายอีก  เลยต้องไปถามประชาสัมพันธ์ ดีที่มันไม่ไกลกันมาก แล้วก็มาล่วงหน้านานพอควร  


เริ่มต้นด้วย Rudin museum  ไปเดินชมงานศิลปะ โดยซื้อตั๋ว museum pass แบบสองวัน 35 ยูโร



งานที่เป็นที่รู้จัก the thinker , the kiss

จากนั้นเดินไปที่ Dome des Invalides และดู military museum ถ้าเดินออกทางด้านพิพิธภัณฑ์  มองไปก็จะเห็นเหมือนสนามหญ้ากว้าง ไกลๆมีสะพาน ที่มีรูปปั้นตกแต่ง ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไกลมาก ข้ามสะพานไปก็จะเป็น Petit Palais กับ Gland Palais จากนั้นก็  ave des champs elysees แหล่งชอปปิ้งนั้นเอง





ถ้าออกมาทางนี้
 แล้วเดินไปเรื่อยๆ ตามนี้ก็จะถึง champs elysees
  

 หลังเดินชม window shopping กันจนเมื่อย เพราะเดินทั้งสองฝั่งของถนน  เพื่อจะตามหาร้าน longchamp ที่เพื่อนฝากซื้อกระเป๋า ตัวเองก็ไม่เคยซื้อของแบรนด์พวกนี้ซะด้วย คิดว่ามาเดินแถวนี้น่าจะเจอร้านบ้างก็ไม่เห็น  ก็เลยเอาไว้ก่อนละกัน แล้วก็นั่งรถไปชมหอไอเฟล 



เดินเที่ยวจนเหนื่อย ตั้งแต่มาถึงจนบ่ายสาม ก็เห็นทีต้องเข้าโรงแรมเชคอินกันก่อน ขอพักสักนิดก่อนออกมาต่อ และเชคว่าร้าน longchamp มันอยู่ตรงไหน คราวนี้จองที่ L'Hotel de Mericourt ค่าห้องประมาณ 2700 ห้องพัก กับห้องน้ำ อาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็สะดวกดี  และมีอาหารเช้า และ ฟรี wifi   ไม่มีแอร์ แต่ไปช่วงหน้าหนาวไม่มีปัญหา แต่หน้าร้อนนี่ไม่แน่ใจ 

ช่วงเย็นไปต่อที่ St sulpice เพื่อไปซื้อกระเป๋าให้เพื่อน เพราะไม่แน่ใจว่าส่วนว่าวันอาทิตย์ร้านจะเปิดปล่าว (ยุโรป วันอาทิตย์ส่วนใหญ่จะปิด) และเดินดูโบสถ์ suipice และไปที่ luxembourg แต่เพราะไปเย็นมาก  สวนเขาเลยปิดแล้ว น่าเสียดาย จากนั้นก็กลับที่พัก หมดแรงสำหรับวันนี้


วันที่สอง ตื่นมาไปกินข้าวเช้า มีขนมปังสามชิ้น น้ำส้ม และเครื่องดื่มอื่นๆ แต่เช้านี้ขอดื่มชอคโกแลตร้อน จากนั้นก็เชคเอาท์ แปดโมง แบกเป้เที่ยวต่อ

ไปที่ Montmartre เพราะเชื่อตามหนังสือแนะนำเส้นทางเดิน เลยไปลงที่ lamarck caulaincourt เล่นเอาเดินซะเหนื่อยกว่าจะขึ้นถึงโบสถ์ ทั้งที่มีสถานี anvers ซึ่งใกล้กว่า  

จากนั้นกลับมาที่นอสเทอดาม   เนื่องด้วยเป็นวันอาทิตย์เช้า เข้าฟรี เพราะคนไปโบสถ์ตอนเช้า  และได้ดูด้วยว่าเขาทำอะไรกันบ้าง พร้อมฟังร้องประสานเสียง




 ต่อด้วย พิพิธภัณฑ์ลูฟ อันนี้เดินนาน หลายชม.ทีเดียวว ชมงานไปเรื่อยๆ


 
ปิดท้ายด้วยอากาศดีๆ ของวันส่งท้าย ด้วยไปสวนที่เมื่อวานปิด  ที่ luxembourge

Sunday 13 March 2011

นมไทยเดนมาร์ค

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1299751706&grpid&catid=00&subcatid=0000
เมื่อวันที่ 10  มีนาคม  2554  ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่  ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัท นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลาย   และกำหนดการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย   ตาม คดีหมายเลขแดงที่ ล.  16031/2550  กองบังคับคดีล้มละลาย 1ศาลล้มละลายกลาง



จากบ้านมาไม่นาน กลับไปคราวนี้จะไม่มีนมไทยเดนมาร์คกินแล้วเหรอ   เป็นยี่ห้อที่ชอบที่สุด ด้วยรสชาติที่อร่อยกว่าเจ้าอื่นๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนมเหมือนๆกัน ถึงมีรสชาดต่างกัน  เพราะถ้าเอาแต่ละยี่ห้อมาลองกินดู ก็จะคล้ายๆ แต่ไทยเดนมาร์คจะมีรสชาดที่ต่างไป และอร่อยกว่าในความรู้สึกเรา  

 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdOVEV5TURNMU5BPT0=

เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัทนมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลาย ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า จะไม่มีนมไทย-เดนมาร์ค ในท้องตลาดอีก ซึ่งข้อเท็จจริงคือปัจจุบันบริษัทดังกล่าว ไม่ได้ผูกพันหรือเกี่ยวข้องกับ อสค. แต่อย่างใด ยืนยันว่า อสค.จะเดินแผนขยายตลาดนมโคไทย-เดนมาร์ค ด้วยตนเอง ทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอสค.ครองความเป็นเจ้าตลาดนมพร้อมดื่มอันดับ 2 ของประทศ โดยยอดจำหน่ายในปี"53 สูงถึง 6 พันล้านบาท และตั้งเป้าจะขยายตลาดปีนี้เพิ่มขึ้น 5-10% และภายใน 5 ปีจะผลักดันให้มียอดขาย 1 หมื่นล้านบาท  

 


สมัยเด็กๆ ยิ่งคุ้นเคยกับนมถุง ถ้าเป็นอนุบาล ประถมต้น โรงเรียนก็จะแจกให้กินทุกวัน แต่พอโตมา  นมถุงเริ่มหายากกินได้ยาก เพราะด้วยอายุการเก็บที่สั้นก็เป็นได้ และก็คงไม่สะดวกทั้งในการขาย และบริโภคนัก  ถ้าไม่ใช่กรรไกรตัด ก็ต้องใช้ฟันกัด ฉีกปากถุง เพื่อใส่หลอดดูดนม  เป็นภาพที่คุ้นชิน และทำเป็นปกติสมัยเด็กๆ  นมถุงละสามบาทสมัยประถม กลายเป็นนมกล่อง ราคาสิบบบาทกว่า ในปัจจุบัน

สมัยเด็ก เวลาฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องในอดีต หรือแม้การดูหนัง สารคดี หรือหนังสือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เมืองไทยสมัยก่อนเป็นแบบนี้เหรอ   ทำไมมันเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้  ดูแล้วก็อยากย้อนกลับไป และให้เรื่องเล่านั่น การดำเนินชีวิตแบบนั่นยังคงอยู่  ... แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ 


เรากำลังเดินไปไหนกันนะ  ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสต์ เหมือนให้สิ่งต่างๆในชีวิตสะดวกสบาย ทันสมัย  แต่เราก็สูญเสียอะไรไปมากเช่นกัน   ของสมัยเก่าถูกมองว่าเชย ล้าสมัย และถูกแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ๆ ที่คิดว่าดีกว่า เก๋กว่า โดยไม่คิดถึงคุณค่าอย่างง่ายดาย ... หรือนี่คืออนิจจัง ของโลก
 

Tuesday 1 March 2011

ใจป่วย กายป่วย

วันนี้ขอบอสกลับมาบ้าน ทั้งที่ต้องใจไปทำงานแต่เช้า แต่พอไปถึง ทำงานได้สักพัก ก็เริ่มอาการไม่ดี ปวดท้อง มีไข้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาหารที่กินเมื่อคืน เพราะปาร์ตี้เล็กเมื่อคืน ลองอาหารจากหลายชาติ ที่ไม่คุ้นเคย หรือเพราะว่างานที่ต้องใจว่าจะมาดูผลแต่เช้า เตรียมตัวคุยกับบอส แต่แล้วก็ไม่ได้ดั่งใจคิด ใจมันเลยเครียด จนร่างกายมีปัญหา

แหมกลับมาเพื่อพัก แต่สมองก็ยังพยายามคิดเรื่องงาน จนไม่ไหวหลับไปสักพักหน้าคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ กับเปเปอร์รอบๆตัว  อาการปวดท้องเริ่มดีขึ้น แต่รู้สึกถึงความร้อนรุมๆ ทั้งตัวและใจ ที่นี่มั่นใจแหละว่าอาการเกิดจากอะไร

จะเอาอะไรไปคุยนะ บอสอยากคุยงาน แต่เราไม่มีอะไรก้าวหน้าไปนัก เริ่มสร้างความกดดันให้ตัวเองอีกครั้ง บอสให้เวลาทำงานมาพอสมควร ไม่เคยมากดดันอะไรเราเลย ถ้าเทียบกับคนอื่นๆแล้ว   จากที่คุยงานไปสองครั้ง แหมว่าบอสจะไม่พูดอะไร และก็แนะว่าควรทำอะไรต่อ แต่เราก็รู้ดีว่าเรายังเตรียมตัว พรีเซนงานไม่ดี  กับครั้งนี้ แม้ว่าจะเตรียมตัวมาแล้ว เพราะการนัดคุยงานที่เลื่อนออกมา แต่พอได้ยินคำที่บอสบอกเมื่อวานว่าจะมีไปคุยโปรเจคนี้กับเพื่อนที่ร่วมโครงการอาทิตย์หน้า อยากได้มีผลอะไรที่ให้เขาประทับใจ  ....  สมองมันเริ่มสร้างเงื่อนไขมาทันที  ที่เราทำไว้ ที่เตรียมไว้ มันยังดีไม่พอ

การเรียนปริญญาเอก ก็คือการมาลองทำงาน   ไม่ได้แตกต่างจากชีวิตที่เคยทำงานมาเท่าไหร่ ไม่มีลงเรียนวิชาต่าง ที่คุณทำได้คือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และจากคนรอบข้าง  แม้จะปลอบใจตัวเอง  ว่าคนอื่นๆในกลุ่มคุ้นเคย ทำงานด้านนี้มาตั้งแต่ป.โท  ส่วนเราเพิ่งมาเริ่มกับงานนี้ตอนป.เอก แต่นี่ก็เจ็ดเดือนแล้วซินะ  มันควรรู้อะไรมากกว่านี้หรือเปล่า   เทียบกับป.โท เวลาขนาดนี้ เขียนเล่มโปรเจคเสร็จหมดแล้ว


ส่วนหนึ่งมาจากที่ไม่สามารถทำงานที่ที่ทำงานได้เท่าไหร่นัก  นิสัยเสีย ที่ต้องทำงานในที่เงียบๆ คนเดียว แต่โต๊ะที่นั่งทำงาน  เราหันหลังให้คนอื่น คือเราจะไม่เห็นใคร แต่คนอื่นจะเห็นได้ตลอดว่าเราทำอะไร ยิ่งหน้าจอคอมขนาดใหญ่ด้วยแล้ว  แถมมีคนเดินผ่านตลอดเวลา  อยากจะขอย้าย แต่มันก็ไม่มีที่ว่างให้ไป  สุดท้ายก็เลยได้แต่พยายามฝืนทำงาน  เพราะมันคงจะชิน แต่ก็ปรับตัวไม่ได้สักที ต้องมาทำงานที่ห้อง ตอนกลางคืน หรือเข้าไปทำวันเสาร์อาทิตย์  มันเลยทำให้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับงาน    เพราะต้องใช้เวลาสองเท่าของเวลาที่สามารถทำงานได้ปกติ 

ภาษา  เมืองเล็กๆที่อยู่ คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ภาษาอังกฤษนัก ภาษาเยอรมันจึงกลายเป็นเรื่องบังคับที่ต้องเรียน แม้จะไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตทั่วไป แต่การติดต่อตั้งแต่เช่าห้อง ลงทะเบียน ติดต่อราชการต่างๆ เยอรมันอย่างเดียว  จบไปแล้วหนึ่งคอร์ส (ที่ว่าปาร์ตี้เล็กๆตอนแรก ก็ปาร์ตีปิดคอร์ส ที่ทุกคนเอาอาหารกันมา)  แม้จะดูมีความรู้ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ใช้ไม่ได้ในการสื่อสารทั่วไป  สู้กันต่อไป

ไม่ใช่คนเดียวที่เครียดเวลาทำงาน หลายคนคงเจอปัญหานี้  และบางคนแทบไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าเครียด เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนมาปรึกษาว่าเวลาก็นอน รู้สึกแขนขาชา ปวดไหล่ จะเป็นโรคเส้นเลือดสมองหรือเปล่า  แต่ด้วยที่ว่าเห็นเพื่อนพูดเรื่องงานมาให้ฟังเสมอ ทำงานแบบข้ามคืนมาเป็นเดือน อาการนี้คงน่าจะเป็นจากความเครียดมากกว่า  จากที่เดิมทุกข์อยู่แล้ว ดันไปคิดให้ตัวเองเป็นทุกข์เพิ่มอีก เพราะไม่ทันสังเกตตัวเอง

หลายคนพอคนรอบข้างบอกว่าให้พักบ้าง ไปผ่อนคลาย คลายเครียดบ้าง ก็มักบอกว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปพัก งานยุ่งขนาดนี้  เป็นกันไหม ... การให้เวลากับตัวเอง สักสิบนาที นั่งนิ่งๆทำสมาธิ ก็ช่วยได้ไม่น้อย  เพราะเมื่อจิตใจเราหยุดซะบ้าง ให้เวลาตะกอนในหัวใจได้ตกลงมา เพื่อน้ำจะได้ใส เราได้แก้ปัญหา ทำงานได้เร็วขึ้น ดีกว่าดันทุรังทำไปเรื่อย  

เรื่องราวของคนๆหนึ่ง ที่อยากให้อ่าน และคิดว่าน่าจะเตือนใจใครหลายคน   ดร.อภิวัฒน์ เป็นคนหนึ่งที่เราชื่นชอบมาตั้งแต่รายการจันทร์กระพริบ  ลองอ่านกันดู


.........

  จาก http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=21074



- ชีวีตการเป็นนักเรียนนอกสนุก?

ไม่เลย ชีวิตตอนนั้นเริ่มต้นด้วยความกลัว และหวาดระแวงไปหมดเสียทุกอย่าง เพราะมีปัญหาเรื่องภาษา ที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนาน ฟังรู้ เรื่อง เก่งแล้ว แต่ไม่ใช่เลย แค่ขึ้นเครื่องบินก็ฟังแอร์โฮสเตสพูดไม่ค่อย เข้าใจแล้ว เวลาไปเรียนก็ยิ่งเครียด จดเล็คเชอร์ไม่ได้เลย ฟังได้เป็น คำๆ ไม่ปะติดปะต่อ ช่วงแรกชีวิตที่เมืองนอกของผมเริ่มต้นด้วยความเครียด มากๆ 

ช่วงหลังเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้และมีเพื่อนฝูงคนอเมริกันมาก ขึ้น รวมทั้งเพื่อนชาติอื่นๆ ที่มาเรียน ทำให้สังคมผมกว้างขึ้น เริ่มไปนอน ค้างบ้านเพื่อน พาเพื่อนมาที่บ้าน พร้อมๆ กับการที่เราเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณีของชาติเขา จึงสามารถปรับตัวได้และอยู่ได้อย่างสบาย มีความสุขมาก ขึ้น 

- แล้วตอนเครียดแก้ปัญหายังไง

เรื่องเรียน ต้องไปขอยืมเล็คเชอร์เพื่อนมาลอก เรื่องภาษาก็ต้องใช้วิธีอ่าน หนังสือมากๆ ดูโทรทัศน์ ดูหนังมากๆ คุยกับเพื่อนมากๆ แต่สำคัญที่สุด เลย คือ "แม่" ผมได้สติปัญญาจากแม่ ตอนที่เครียดมากๆ ไม่รู้จะทำอย่าง ไร เขียนจดหมายไปหาแม่เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่า "อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่ เห็น" นั่นทำให้ผมได้สติ เพราะเรื่องที่ผมกลัวเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด

- เป็นคนเรียนเก่ง?

ความที่อยู่กับการเรียนอย่างเดียว อ่านแต่หนังสือ พอเทอมแรกผ่านไปผม ได้ เอ ทั้ง 4 วิชา ก็ดีขึ้นสบายใจขึ้น ผมเรียนจบปริญญาโทภายใน 1 ปี คือ เดินทางไปเมื่อเดือนมกราคม 2523 จบในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ที่สามารถทำได้ เพราะหลักสูตรที่เรียนนั้นแบ่งเป็นสองเทอมหลัก และมีซัมเมอร์ ซึ่งยังแบ่ง เป็นซัมเมอร์ 1 ซัมเมอร์ 2 ถ้าใครลงทะเบียนเรียนอย่างเข้มข้นโดยลงเต็มทุก หน่วยกิตทั้งในแต่ละเทอมและซัมเมอร์ ก็สามารถจบได้ภายใน 1 ปี

พอจบโท ผมเองไม่อยากเรียนต่อปริญญาเอก แต่พ่อกับแม่อยากให้เรียน ท่านบอกว่า ส่งเสียได้ผมจึงติดต่อเพื่อนที่โอคลาโฮมา ทำให้ได้ไปเรียนที่โอคลาโฮมา สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งที่นี่อยู่ห่างจากบัลติมอร์มาก ไปเรียนตอนนั้นจำ ได้ว่าปี 2524 ตัดสินใจขายรถเป็นค่าตั๋วเครื่องบินบินไปเรียน ซึ่งตอนนั้นก็ ยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปทำไม

- ได้เพื่อนใหม่หรือเปล่า?

ช่วงแรกๆ คิดถึงบัลติมอร์มาก เพราะที่โอคลาโฮมาค่อนข้างล้าหลัง เดินไปไหน เจอแต่คนถ่มน้ำลาย เพราะส่วนใหญ่เขาเคี้ยวใบยาสูบ แต่พอสักพักก็เห็นว่าที่ นี่น่ารักผู้คนเป็นมิตรมากกว่า พูดง่ายๆ คือเป็นคนบ้านนอกของอเมริกัน แต่ เป็นคนดีมีน้ำใจ ผมอยู่หอพัก มีรูมมเมทคนหนึ่งเป็นอาจารย์จากจังหวัดพระ นครศรีอยุธยา ไปเรียนต่อปริญญาเอก อายุ 40 กว่าปีแล้วแต่ผมยี่สิบต้นๆ แต่ เราก็เป็นเพื่อนกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ

ยังคงเรียนไปและทำงานพิเศษหารายได้เหมือนเคย เพราะอยากช่วยพ่อแม่ ประหยัด โดยตอนแรกไปสมัครเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัย เขาตอบตกลงแล้ว แต่พอ วันเปิดเทอมเขาตัดงบฯนี้ออกเลยไม่ได้ทำ เปลี่ยนไปทำงานในครัวของหอพัก ทำ ตั้งแต่ล้างจานไปจนถึงทำอาหารให้คนกิน และยังทำงานขายแซนด์วิชในเมืองอีก งาน ทำอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบและการเรียนก็ไม่ได้ตก 


การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่การวัดความรู้กัน ปริญญาโทเรียนยากกว่าด้วยซ้ำ การ เรียนปริญญาเอกเป็นการวัดความสามารถในการชวนให้เชื่อมากกว่า ไม่สำคัญว่าคุณ เก่งอะไร แต่คุณสามารถชักจูงให้คนอื่นเชื่อตามได้ ตรงนั้นต่างหากที่ผมจับ ทางถูก การเรียนทำให้เรามีความรู้อยู่ในตัวเอง แต่ถ้าเราไม่สามารถถ่ายทอด ความรู้นั้นได้ ก็ไม่มีประโยชน์

- เข้ามาเกี่ยวกับงานบันเทิงได้อย่างไร?

เรียนจบกลับมาปี 2527 สมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ได้ 2 เดือนเขาบรรจุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชา ภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ พอปี 2528 ขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา แต่พอไปได้แค่ เดือนมิถุนายนเขาให้ขึ้นเป็นคณบดี

เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานบันเทิง เริ่มจากมีนิตยสารหลายฉบับมาขอ สัมภาษณ์ บริษัทเอเยนซี่โฆษณาเห็นเข้าก็ให้ไปเทสต์หน้ากล้อง เพราะเขาต้อง การพรีเซ็นเตอร์เป็นครูอาจารย์ที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ ช่วงนั้นปี 2532 บริษัทเจ เอสแอลกำลังริเริ่มรายการทำนองทอล์คโชว์ จึงทาบทามผมเป็นพิธีกร ให้ผมไป เทสต์หน้ากล้อง มีคุณตุ้ม-ผุสชา เป็นคนเทสต์ เขาตกลงให้ผมทำงาน โดยเปลี่ยน จากพิธีกรชายมาเป็นพิธีกรคู่ชาย-หญิงซึ่งผมก็คู่กับคุณตุ้มตั้งแต่นั้นมา

การทำงานตรงนี้ถือว่าให้อะไรกับผมมากมาย ทุกชีวิตที่ผมได้สนทนา ได้ สัมผัส ได้เรียนรู้ ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งมุมมืด มุมสว่าง และผม ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ได้ศึกษา ได้อุทธาหรณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น

ทำรายการด้วย เป็นคณบดีด้วยอยู่ประมาณ 10 ปี ก็ลาออกจากการเป็นอาจารย์แล้วเดินเข้าไปที่เจเอสแอล ทำงานกับเจเอสแอลตั้งแต่นั้นมาตลอด

- มาเริ่มป่วยตอนไหน?

การเจ็บป่วยของผม-ผมอยากจะบอกว่ามันสะสมมาจาก "ความเกินไป" ของผม อย่างที่ บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ผมเป็นคนที่ทำอะไร "มากเกินไป" เสมอ ทำอะไรก็จะเกินไว้ ก่อน เมื่อเริ่มต้นทำงานผมก็สนุกสนานกับงานและรู้สึกว่างานมีเพิ่มมากขึ้น ยิ่งรู้สึกดี แทนที่จะรู้สึกว่ามันมากไปจนเหนื่อย ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการ พักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนของผมจึงเป็นการได้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม

เมื่อทำงานมากๆ ภายใต้ความเครียด อดนอน จึงเป็นการสะสมอาการป่วยที่ผมไม่รู้ ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงจากการอดนอน ที่เด่นชัดคือ การเกิด อาการโรคหมุนอย่างไม่รู้ตัว สะสมพร้อมๆ กับอาการปวดหัวตัวร้อนที่เป็นอยู่ บ่อยๆ

เมื่อห้าปีก่อนผมไปบ้านที่ปากช่องกับครอบครัว ความที่ร่างกายไม่คุ้นกับการ พักผ่อน จู่ๆ ร่างกายก็รับไม่ได้ ผมวูบ..สลบไป 5 นาทีล้มฟาดพื้น หน้าเป็น แผล หลังจากนั้นผมมีอาการอื่นๆ อีกแต่ไม่ได้สนใจ 

- ไม่ไปตรวจร่างกายหรือ?

ไม่ครับ ไม่ไปตรวจเช็คร่างกาย เพราะคิดเสมอว่ายังเดินเหินได้แข็งแรงดี ผม คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสะสมแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งผมไม่เคยคิดเลย ว่าผมจะเป็นมะเร็ง ผมใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะหมดทุกอย่าง และยังมีความเครียด เป็นตัวเร่งอีก

วันหนึ่งผมรู้สึกปวดท้องต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ถ่ายไม่หมดเสียที จนกระทั่ง ถ่ายออกมาเป็นหยดเลือดสดๆ เปื้อนกางเกงใน ก็รู้สึกว่าผิดปกติ เพราะปกติผม ไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ เป็นคนไม่เสียเวลากับการนอน การกิน การถ่าย คิดว่า เมื่อถึงเวลาของมันก็ถ่ายเอง บางครั้งก็ข้ามวัน และนิสัยเป็นคนดื่มน้ำ น้อย ตั้งน้ำไว้แก้วหนึ่ง วันหนึ่งยังไม่หมดเลย

ถ่ายเป็นเลือดก็ยังไม่ไปตรวจทันที เพราะมีงานรออยู่ ซึ่งเลือดมันไม่หายไป สักที ในที่สุดตัดสินใจไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ หมอตรวจพบก้อนเนื้อในลำไส้ ใหญ่ ตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แต่ผลเลือดชี้ว่ามี เซลล์มะเร็งอยู่

- ก็ต้องผ่าตัด?

ผ่าตัดใหญ่ ต้องตัดลำไส้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นส่วนแพร่กระจายของเชื้อทิ้ง ไป ความยาวฟุตกว่าๆ โชคดีที่ตัดไปแล้วยังสามารถต่อกับลำไส้ส่วนทวารหนัก ได้ ไม่ต้องเจาะหน้าท้องสำหรับขับถ่าย

หลังจากผ่าตัดสองเดือนให้หลัง ปรากฏว่าแพร่กระจายไปที่ตับ มีเซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น 3-4 ก้อน จากเดิมที่ไม่ไปทำเคมีบำบัดต้องเปลี่ยนแผนมาทำเคมี บำบัด และรักษาแบบนี้มาตลอด มีอยู่ก้อนหนึ่งใหญ่ 0.4 เซนติเมตร หมอไม่กล้า จี้ออกเพราะอยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ อาจพลาดไปโดนเส้นเลือดใหญ่ได้ ต้องปล่อยไว้ อย่างนั้นให้มันโตแล้วค่อยจี้อีกครั้ง

ช่วงระหว่างนั้นยังไปช่วยน้องๆ เตรียมงานเอ็กซโปที่จะเปิดแสดงที่ญี่ปุ่น ไป อิตาลีเพื่อจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยซึ่งก็สร้างความเครียดได้เช่นกัน

- คนในครอบครัวกลัว?

ผมบอกลูกๆ ทุกคนว่าเป็นมะเร็ง เพราะเราไม่มีความลับกันในครอบครัว เขาเห็นผม ซมซานเวลาปวดท้อง เขารู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานอย่างไร แต่เราก็ให้กำลังใจกัน และกัน ไม่ทำตัวเป็นภาระของกันและกัน ทำให้ในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะ มีความ สุข

ในยามที่ปวดท้องมากๆ ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมา ปวดท้องต่อ ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับห้องน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ไม่ ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะมีชีวิตอย่างนี้

ผมรักษาด้วยเคมีบำบัดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2548 ผลการตรวจค่าเซลล์มะเร็งตลอด ระยะเวลาที่รักษามาไม่ได้ดีขึ้น หลังกลับจากไปเยี่ยมลูกที่ออสเตรเลียกลับมา เมืองไทยประมาณธันวาคม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง บางทีตื่นนอนก็ ยากลำบากกว่าจะลงจากเตียงได้ ช่วงนั้นหน้าตาผมแย่มาก ร่างกายแย่จิตใจก็ หดหู่ตามไปด้วย

ผมคิดมาก และคิดหนัก ตัดสินใจรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัด ถึงกระนั้นก็ยัง ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพราะตับมีปัญหา เป็นมะเร็ง ถึงตอนนี้ผมเผชิญหน้า กับการรักษาต่อไป แต่เป็นการรักษาตามสภาพ

สำหรับภรรยาและลูกๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ภรรยาผมจะจัดการได้ ผมเชื่อว่า เขาจะต้องนำพานาวาชีวิตลำนี้ไปต่อได้ แม้ว่าอาจจะไม่สบายเหมือนตอนที่ผมอยู่

ผมบอกกับตัวเองเสมอทุกวันว่า "ผมไม่ยินดีที่จะตาย แต่ผมพร้อมจะตาย"

ตั้งแต่เป็นมะเร็งผมเริ่มคิดได้ว่า ชีวิตนี้สอนคนมามากในฐานะครูบา อาจารย์ แต่คนที่ผมไม่เคยสอน ไม่เคยเตือน คือตัวเอง จึงไม่เคยตั้งใจจะให้ ชีวิตผมเป็นแบบอย่างแก่ใคร ไม่เคยคิดจะสอนใครอีก เพราะลำพังสอนตัวเอง เตือน ตัวเองบ่อยๆ

ก็ยากพอแล้ว


..... 


การอยู่คนเดียวต่างแดน ไม่มีใครคุยด้วย การเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษร ก็เป็นการระบายทางหนึ่ง  แม้อาจจะไม่มีสาระต่อใครที่อ่าน  หรืออาจจะไม่มีใครอ่านเลยก็ตาม แต่ก็เป็นการช่วยบรรเทาจิตใจของคนเล่า